พระราชวังลุกซ็องบูร์ (Palais du Luxembourg หรือ Luxembourg Palace) พระราชวังอันมีสไตล์คล้ายกับศิลปะในเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเคยเป็นพระราชวังของสมเด็จพระราชินีมารี เดอ เมดิชิ แห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งของเมืองปารีสที่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจและได้ซึมซับความรู้ทางประวัติศาสตร์ไปในขณะเดียวกัน

ประวัติ
พระราชวังลุกซ็องบูร์ (Palais du Luxembourg หรือ Luxembourg Palace) ตั้งอยู่ในเขตของสวนลุกซ็องบูร์ บริเวณทางเหนือในกรุงปารีส ในอดีตพระราชวังแห่งนี้เคยเป็นพระราชวังของสมเด็จพระราชินีมารี เดอ เมดิชิ แห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ปัจจุบันเป็นที่ทำการของวุฒิสภาฝรั่งเศส
พระราชวังนี้ได้รับการออกแบบให้มีสไตล์คล้ายกับพระราชวังพิตติ (Pitti Palace) ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระราชินี สถาปนิกผู้ออกแบบคือ ซาลอมง เดอ บร็อส (Salomon de Brosse) เป็นสถาปนิกของสมัยบาโรกชาวฝรั่งเศสผู้มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งงานชิ้นสำคัญของเขาก็คือการออกแบบพระราชวังลุกซ็องบูร์สำหรับสมเด็จพระราชินีนาถมารี เดอ เมดิชิแห่งนี้ โดยซาลอมง เดอ บร็อสได้ส่งคนไปวาดโครงสร้างต่างๆ จนเป็นที่พอพระทัยของพระราชินี ได้ทรงรับซื้อโครงสร้างนี้และตั้งชื่อว่า พระราชวังเมดิชิ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพระราชวังลุกซ็องบูร์ในภายหลัง
ในอดีตภายในพระราชวังนี้แห่งนี้มีของล้ำค่ามากมายประดับตกแต่งอยู่ ปัจจุบันของเหล่านั้นได้สูญหายไปเป็นจำนวนค่อนข้างมาก และบางส่วนก็ถูกส่งไปตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงประดับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ คือ ภาพวาดของพระราชินีมารี เดอ เมดิชิ ที่วาดโดย ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens) จิตรกรยุคบาโรก ที่มีชื่อเสียงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และได้รับการยกย่องว่ามีอิทธิพลมากที่สุดของเฟลมิช ประเทศเบลเยียม โดยงานของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ลักษณะการเคลื่อนไหว สีสัน และมีชีวิตชีวา รูเบนส์มีความเชี่ยวชาญทั้งการเขียนภาพเหมือน ภาพทิวทัศน์ ภาพแนวศาสนาและเรื่องจากตำนาน

ภายในพระราชวังนักท่องเที่ยวจะพบกับห้องโถงต้อนรับที่บนเพดานนั้นเป็นภาพจิตรกรรมสื่อเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาที่มีความวิจิตรสวยงามมาก เยื้องๆ กันเป็นห้องสมุดซึ่งเพดานนั้นตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมในรูปเดียวกัน ซึ่งศิลปะภายในรวมถึงจิตรกรรมต่างๆ บนผนังจะเน้นโทนสีครีมและสีทอง ให้ความรู้สึกหรูหราและสง่างามในสไตล์โรมัน ไฮไลต์เป็นห้องประชุมวุฒิสภาที่ออกแบบได้เข้ากับตัวพระราชวังพร้อมกับรูปปั้นอนุสาวรีย์ทั้งเจ็ดที่เป็นประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส